การรักษาดุลยภาพของพืช
ส่วนของพืชที่คายน้ำ
การคายน้ำเป็นการสูญเสียน้ำของพืชในรูปของไอน้ำโดยวิธีการแพร่
ร้อยละ 95 ของน้ำที่พืชดูดเข้ามาจะสูญเสียไปโดย การคายน้ำ การคายน้ำในพืชเกิดขึ้นที่ปากใบ
( stoma ) ผิวใบ ( leaf surface ) และช่องอากาศ
( lenticel ) ประมาณกันว่า 80-90% ของการคายน้ำเกิดขึ้นที่ปากใบ
ปากใบของพืชประกอบด้วยช่งเล็กๆ
ในเนื้อเยื่อชั้นแรกสุดของใบ ในแต่ละช่องล้อมรอบด้วยเซลล์คุม ( guard cell ) เป็นคู่ๆ มีรูแร่างคล้ายเมล์ดถั่วแดงประกบกัน ปากใบของพืชจะพบที่ด้านท้องของใบ
( ด้านล่างของใบที่ไม่ได้รับแสง ) มากกว่าด้านบนของใบ
ปากใบของพืช
การปิดเปิดของปากใบ
การเปิดของปากใบขึ้นอยู่กับความเต่งของเซลล์คุม
ในช่วงเวลากลางวัน เซลล์คุมซึ่งมีคลอโรพลาสต์อยู่ภายใน จะมีกระบวน การสังเคราะห์แสงเกิดขึ้น
ทำให้ภายในเซลล์คุมมีระดับน้ำตาลสูงขึ้น น้ำจากเซลล์ใกล้เคียงจะเกิดการออสโมซิสผ่านเข้า
เซลล์คุม ทำให้เซลล์คุมอยู่ในสภาพเต่ง ปากใบจึงเปิด
ทำให้เกิดช่องว่างตรงกลางซึ่งพืชสามารถคายน้ำออกมาทางปากใบ และเมื่อระดับน้ำตาลลดลงเนื่องจากไม่มีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
น้ำก็จะออสโมซิสออกจากเซลล์คุม หรือระดับที่พืช สูญเสียน้ำมาก จะทำให้เซลล์คุมมีลักษณัลีบลง
ปากใบจึงปิด การปิดเปิดของปากใบพืชมีผลต่อการคายน้ำของพืช ปากใบจึง
เปรียบเสมือนประตูควบคุมปริมาณน้ำภายในต้นพืช
ปากใบของพืชเปิด-ปิด
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการคายน้ำ
1.) แสงสว่าง ถ้ามีความเข้มข้นแสงมาก ปากใบจะเปิดได้กว้าง พืชจะคายน้ำได้มาก
2.) อุณหภูมิ เป็นปัจจัยทือิทธิพลควบคู่กับแสงสว่างเสมอ
ถ้าอุณหภูมิในบรรยากาศสูง พืชจะคายน้ำได้มากและรวดเร็ว
3.) ความชื้นในบรรยากาศ ถ้าบรรยากาศมีความชื้นสูงจะคายน้ำได้น้อย พืชบางชนิดจะกำจัดน้ำออกมาในรูปของหยดน้ำ
ทางรูเปิดเล็กๆ ตามรูเปิดของเส้นใบ เรียกว่า การคายน้ำเป็นหยดหรือ กัตเตชัน ( guttation
) และถ้าในบรรยากาศมี ความชื้นน้อย พืชจะคายน้ำได้มากและรวดเร็ว
4.) ลม ลมจะพัดพาเอาความชื้นของพืชไปที่อื่น
เป็นสาเหตุให้พืชสูญเสียน้ำมากขึ้น ในภาวะที่ลมสงบไอน้ำที่ระเหยออกไปจะ
คงอยูในบรรยากาศใกล้ๆ ใบ บรรยากาศจึงมีความชื้นสูงพืชจะคายน้ำได้ลดลง
แต่ถ้าลมพัดแรงมากพืชจะปิดหรือหร่แคบลง มีผลทำให้การคายน้ำลดลง
5.) ปริมาณน้ำในดิน ถ้าสภาพดินขาดน้ำ หรือปริมาณน้ำในดินน้อย
พืชไม่สามารถนำไปใช้ได้เพียงพอ ปากใบของพืชจะปิด หรือแคบหรี่ลง
มีผลทำให้การคายน้ำลดลง
6.) โครงสร้างของใบ ตำแหน่ง จำนวน และการกระจายของปากใบ
รวมถึงความหนาของคิวมิเคิล ( สารเคลือบผิวใบ )
ลักษณะเหล่านี้มีผลต่อการคายน้ำของพืช
การรักษาดุลยภาพของสัตว์
ปลาน้ำจืด
จึงพยายามไม่ดื่มน้ำและไม่ให้น้ำซึมเข้าทางผิวหนังหรือเกล็ด แต่ปลายังมีบริเซณที่น้ำสามารถ
ซึมเข้า ไปได้ คือ บริเวณเหงือกซึ่งสัมผัสกับน้ำตลอดเวลา ดังนั้นปลาจึงต้องขับน้ำออกทางไตเป็นน้ำปัสสาวะ
ซึ่งเจือจาง และมี ปริมาณมาก และปลาจะมีเซลล์สำหรับดูดซับเกลือ ( salt absorbing cells ) อยู่ที่เยื่อบุผิวของเหงือก ซึงจะ
ดูดซับเอาไอออนของเกลือจากน้ำเข้าไปในเลือด ซึ่งจะเป็นการทดแทนเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากการแพร่ออก
ส่วนปลาทะเลจะมีลักษณะตรงข้าม
คือ ปริมาณน้ำภายในร่างกายเจือจางกว่าน้ำภายนอกร่างกาย เมื่อกินอาหารจึง กินน้ำทะเลเข้าไปด้วย
ทำให้มีเกลือแร่ในร่างกายมาก
ดังนั้นเกล็ดและผิวหนังแทนที่จะป้องกันการซึมของน้ำกลับ ป้องกันเกลือแร่จากน้ำทะเลซึมเข้าสู่ร่างกาย
ส่วนเหงือกจะทำหน้าที่ขับเกลือที่มากเกินความจำเป็นออกจากตัวด้วย กระบวนการแอกทีฟทรานสปอร์ต
ส่วนเกลือแร่ที่ติดกับอาหารเข้าไปด้วยจะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์ในขณะย่อย อาหาร
จึงออกนอกร่างกายทางอุจจาระ ปลาบางพวกมีการปรับตัวและมีวิวัฒนาการเกี่ยวกับต่อมเกลือ (salt gland) ได้ดี จึงสามารถอยู่ได้ทั้งในน้ำทะเล น้ำกร่อย และน้ำจืด เช่น ปลาหมอเทศ
ในขณะที่ปลาส่วนใหญ่ถ้าเปลี่ยนน้ำก็ อาจตายได้
ในสัตว์พวกที่มีแหล่งหากินในทะเลแต่ไม่ได้อาศัยอยู่ในทะเล
จะมีต่อมขจัดเกลือออกจากร่างกาย เช่น พวกนกทะเล จะมีต่อมเกลือ ( salt gland ) อยู่บริเวณเหนือตาทั้งสองข้าง เป็นต้น
การรักษาดุลยภาพ
1. การรักษาดุลยภาพของน้ำและแร่ธาตุในสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น พารามีเซียม , ปลาน้ำจืด , ปลาน้ำเค็ม , นกทะเล ฯลฯ ต่างก็มีความต้องการน้ำและแร่ธาตุในปริมาณที่พอเหมาะ
ดังนั้นจึงต้องมีการรักษาดุลยภาพของน้ำและแร่ธาตุในร่างกาย แต่รายละเอียดของกลไกในการรักษาดุลยภาพจะแตกต่างกัน
2. การรักษาดุลยภาพของน้ำในพารามีเซียม “
พารามีเซียม” ( Paramecium sp. ) เป็น
สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด ที่มีความเข้มข้นของสารละลายน้อยกว่าสารละลายภายในพารามีเซียม
น้ำจึงออสโมซิสเข้าสู่พารามีเซียมมากกว่า - ดังนั้นพารามีเซียมจึงมีโครงสร้าง
“คอนแทรกไทล์ แวคิวโอล” ( Contractile vacuole ) ที่ช่วย ขับน้ำส่วนเกินที่ออสโมซิสเข้ามาออกจากเซลล์พารามีเซียม
3. เซลล์พารามีเซียมก่อนขับน้ำส่วนเกิน
เซลล์พารามีเซียมหลังขับน้ำส่วนเกิน
4. การรักษาดุลยภาพของน้ำในปลาน้ำจืด “ ปลาน้ำจืด” เช่น ปลาตะเพียน , ปลานิล
ฯลฯ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด เช่น แม่น้ำ ที่มีความเข้มข้นของสารละลายน้อยกว่าสารละลายภายในร่างกายของปลาน้ำจืด
น้ำจึงออสโมซิสเข้าสู่เซลล์ที่เหงือกปลาน้ำจืดผ่านทางการรับประทานอาหาร มากกว่า - ดังนั้นปลาน้ำจืดจึงต้อง
มีเกล็ดและผิวหนังที่หนาเพื่อกันน้ำซึมเข้าสู่ร่างกายภายใน , ปัสสาวะที่ขับต้องมีปริมาณน้ำมาก ( ความเข้มข้นน้อย
) เพื่อขับน้ำส่วนเกินออกไป และ ใช้เซลล์พิเศษที่เหงือกดูดซึมแร่ธาตุกลับคืนเข้าสู่ร่างกายโดยการลำเลียงสาร
แบบใช้พลังงาน
5. การรักษาดุลยภาพของน้ำในปลาน้ำเค็ม “ ปลาน้ำเค็ม” เช่น ปลาทูน่า , ปลาการ์ตูน
ฯลฯ เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเค็ม เช่น ทะเล ที่มีความเข้มข้นของสารละลายมากกว่าสารละลายภายในร่างกายของปลาน้ำเค็ม
น้ำจึงออสโมซิสออกจากเซลล์ของปลาน้ำเค็มมากกว่า - ดังนั้นปลาน้ำเค็มจึงต้อง มีเกล็ดและผิวหนังที่หนาเพื่อกันแร่ธาตุแพร่เข้าสู่ร่างกายภายในมากเกินไป
, ปัสสาวะที่ขับจะมีปริมาณน้ำน้อย ( ความเข้มข้นมาก
) เพื่อสงวนน้ำเอาไว้ , ขับแร่ธาตุส่วนเกินด้วยเซลล์พิเศษที่เหงือกโดยการลำเลียงแบบใช้พลังงาน
และ ดูดซึมแร่ธาตุจากอาหารน้อย
6. การรักษาดุลยภาพของน้ำในนกทะเล - นกที่อาศัยอยู่ริมทะเล
เช่น นกอัลบาทรอส จะได้รับแร่ธาตุจากไอน้ำทะเลอยู่ตลอดเวลา - ดังนั้นนกเหล่านี้จึงมี
“ต่อมนาสิก” ( Nasal gland ) เพื่อขับน้ำเกลือส่วนเกินออกทางรูจมูก
ของนกทะเล
7. การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิในร่างกาย “
อุณหภูมิของร่างกาย” ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซม์
เช่น เอนไซม์อะไมเลส
8. - ร่างกายของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีช่วงอุณหภูมิในร่างกายที่เหมาะสมไม่เท่า
กัน ในกรณี ร่างกายมนุษย์จะมีอุณหภูมิในร่างกายเฉลี่ย 37 องศาเซลเซียส
( เป็นอุณหภูมิแกนกลางของร่างกายมนุษย์ ) - ดังนั้น ร่างกายของมนุษย์จึงต้องมีการรักษาดุลยภาพด้านอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่
แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไป ในช่วงที่มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
9. กลไกการควบคุมการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิ
ถ้าอุณหภูมิของร่างกายสูงเกินกว่า 37 องศาเซลเซียส ( C ) สมองส่วนไฮโปทาลามัสก็จะกระตุ้นร่างกายตอบสนองดังนี้
1. หลอดเลือดขยายตัว เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างร่างกายกับสิ่งแวดล้อม
( ทำให้เกิดอาการผิวแดง ) 2. ขับเหงื่อจากต่อมเหงื่อ
แล้วนำความร้อนจากร่างกายถ่ายเทให้กับเหงื่อจนระเหยไป 3. ลดอัตราเมตาบอลิซึมในร่างกาย
10. ถ้าอุณหภูมิของร่างกายต่ำลงกว่า 37 องศาเซลเซียส ( C ) สมองส่วนไฮโปทาลามัสก็จะกระตุ้นร่างกายตอบสนองดังนี้
1. หลอดเลือดหดตัว เพื่อลดพื้นที่ผิวในการแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างร่างกายกับสิ่งแวดล้อม
( ทำให้เกิดอาการผิวซีด ) 2. กล้ามเนื้อโครงร่างหดตัวอย่างรวดเร็ว
ทำให้เกิดอาการหนาวสั่นและเกิดพลังงานจากการสั่น 3. ขนลุกชัน
เพื่อเป็นฉนวนกันความร้อนออกจากร่างกาย 4. เพิ่มอัตราเมตาบอลิซึมในร่างกาย
11. - ในกลไกการรักษาดุลยภาพด้านอุณหภูมิของร่างกายดังกล่าวพบว่า
อวัยวะที่มีความสำคัญมาก คือ “ผิวหนัง” ( Skin ) - องค์ประกอบภายในผิวหนังที่มีบทบาทต่อการรักษาดุลยภาพด้านอุณหภูมิ ได้แก่
.... 1. ต่อมเหงื่อ 2. หลอดเลือดในชั้นผิวหนัง
3. ขนที่ปกคลุมผิวหนัง 4. กล้ามเนื้อในชั้นผิวหนัง
12. การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิของสัตว์ต่างๆ สัตว์ต่างๆก็มีกลไกในการรักษาดุลยภาพด้านอุณหภูมิที่แตกต่างกันออกไป
แต่สามารถ แบ่งลักษณะกลไกการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิในสัตว์ได้เป็น 2 แบบ โดยใช้เกณฑ์การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลง
ของอุณหภูมิในสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ... 1. สัตว์เลือดเย็น
( Poikilothermic Animal ) 2. สัตว์เลือดอุ่น ( Homeothermic
Animal )
13. - สัตว์เลือดเย็น หมายถึง สัตว์ที่ มีอุณหภูมิของร่างกายแปรผันไปตามอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม
ตัวอย่างของสัตว์เลือดเย็น เช่น ปลา , สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก
, สัตว์เลื้อยคลาน - สัตว์เลือดอุ่น หมายถึง สัตว์ที่ รักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่แม้อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไป
ตัวอย่างของสัตว์เลือดอุ่น เช่น สัตว์ปีก , สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
14. - นอกจากนี้สัตว์ยัง ใช้พฤติกรรม
บางอย่างในการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิในร่างกาย เช่น การลงเล่นน้ำ , การอพยพ , การจำศีล ฯลฯ
หรือ ดาวน์โหลดตามไฟล์แนบข้างล่าง นะจ๊ะ
|